วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นักเรียนเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษา


"กลุ่มนักเรียนเพื่อการปฏิวัติระบบ"
นักเรียนก็คือนักเรียน ที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังตกเป็นเครื่องมือของพวก "อกหัก" ทางประวัติศาสตร์
เพราะโดยธรรมชาติของประวัติศาสตร์ ไม่ว่าชนชาติใดในโลกล้วนถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ
การที่ออกมาโทษนั่นโทษนี่ โทษว่าระบบการศึกษาล้าหลัง โทษว่าชนชั้นปกครองปิดหูปิดตา
หูก็หูตัวเอง ตาก็ตาตัวเอง แล้วไปให้เขาปิดทำไม อยากรู้ข้อเท็จจริงก็ไปศึกษาให้กระจ่างเพราะประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้แพ้มันก็มีอยู่ โทษว่าระบบการศึกษาที่ผ่านไม่เปิดให้มีการโต้แย้ง อยากถามว่าใครห้าม แล้วอยากถามกลับเหมือนกันว่าทำไมไม่คิดโต้แย้งคนที่ยัดระบบความคิดแบบนี้ให้คุณ ว่่าที่คิดแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ ทำไมไม่ลองใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่คุณชอบกล่าวอ้างมาเป็นเครื่องมือในการหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ออกมาเรียกร้องในเรื่องที่ทำให้มองออกได้ไม่ยากว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร ในฐานะที่เป็นครูที่ไม่เคยชอบการเข้าแถวเคารพธงชาติและการสวดมนต์ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงไม่ชอบ อยากจะสื่อสารถึงนักเรียนกลุ่มนักเรียนเพื่อการปฏิวัติระบบว่า สิ่งที่คุณทำแล้วและกำลังจะทำ มันไม่ต่างกับการตกเป็นหุ่นเชิดทางความคิดของลัทธิทางการเมือง และไม่ต่างอะไรกับการ "โชว์โง่" !!!

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จิตสาธารณะ กฏหมายไม่คุ้มครอง




ในภาวะที่บ้านเมืองก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขัน กิจกรรมทุกอย่างดูจะเร่งรีบไปเสียหมด
คนทำงานทุกคนล้วนแล้วแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตน โดยไม่แลเหลียวดูใครแม้กระทั่งคนรอบข้างจะได้รับเดือดร้อน จนคล้ายกับว่าความความมีน้ำใจไมตรี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นของเราคนไทยนั้นดูจะเหือดหายไป จากสถานการณ์ที่กำลังดำเนินไปอย่างเชื่องช้าทว่าเร่งด่วนนี้ ทำให้มีหลายๆคน หลายๆองค์กร ได้ออกมารณรงค์ให้เราตระหนักถึงการธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความมีน้ำใจไมตรี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ที่ถูกตั้งชื่อให้ใหม่อย่างเท่ห์ว่า "จิตสาธารณะ" แต่การมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นก็อาจจะส่งผลกระทบที่เราคาดไม่ถึง และสุดท้ายแล้วเราก็อาจจะต้องกลับมาทบทวนว่า การมีจิตสาธารณะ ของเรานั้นได้รับการคุ้มครอง หรือมีใครรับประกันได้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง ดังเช่นเรื่องราวของ พนักงานขับรถของบริษัทไฟฟ้า ที่มีหน้าที่ขับรถพา วิศวกรไฟฟ้า ช่างไฟฟ้า และคนงาน ออกไปปฏิบัติงานตามเสาไฟฟ้าแรงสูงในวันหนึ่งขณะที่เหล่าวิศวกรไฟฟ้า ช่างไฟฟ้า และคนงานกำลังปฏิบัติงานบนเสาไฟฟ้าแรงสูง ปรากฏว่าขาดคนในการจับสายส่งไฟฟ้า พนักงานขับรถท่านนั้น เห็นเหตุการณ์กลัวงานจะล่าช้า จึงเกิด "จิตสาธารณะ" ได้ปีนขึ้นไปช่วย วิศวกร ช่างไฟฟ้า และคนงาน ในการปฏิบัติงานนั้น ระหว่างปฏิบัติงานบนเสาไฟฟ้าแรงสูงได้เกิดอุบัติเหตุกับ พนักงานขับรถท่านนั้นถูกไฟฟ้าแรงสูงช๊อต เป็นเหตุให้เสียชีวิตทันทีบนเสาไฟฟ้าแรงสูงนั้น เมื่อครอบครัวของพนักงานขับรถท่านนั้น ได้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทไฟฟ้า ปรากฏว่าบริษัทไม่สามารถทำตามที่ร้องขอได้เพราะ พนักงานคนขับรถนั้นไม่ได้ตายเพราะปฏิบัติหน้าที่ หากแต่ตายเพราะไปปฏิบัติหน้าที่คนอื่น ดังนี้อาจจะกล่าวได้ว่า พนักงานขับรถคนนั้นตายเพราะการมี "จิตสาธารณะ" ที่สังคมต้องการ และอยากมี แต่กฏหมายไม่คุ้มครอง เพราะการตีความคำว่า "หน้าที่" และจิตสาธารณะ นั้นตีความต่างกันราวฟ้ากับเหว .

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

ครู หรือ ผู้บริหาร


เมื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติของนักเรียนตกต่ำ
บรรดานักวิชาการทั้งหลายก็ดาหน้าออกมาวิเคราะห์วิจัยว่าทำไม??
ผลสรุปที่ได้ก็ตรงกันว่าปัญหาอยู่ที่ "คุณภาพครู" ทั้งๆที่ก็ครูคนเดิมนั่นแหละ
แต่มีอยู่ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูเป็นอย่างมากที่บรรดานัก"วิชาการ"ที่ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนไม่เคยรู้ คือ "ผู้บริหารสถานศึกษา" บางโรงเรียนเมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารก็ทำให้ผลสัมฤทธิ์ตกต่ำ หรือสูงขึ้น
...
........
...........
ที่กล่าวมาอาจจะทำให้มองได้ว่าเป็นการ "โยนความผิด,ปัดสวะ" ไปให้ผู้บริหาร เพราะไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนผู้บริหารสักกี่คน ครูก็ควรจะมีจิตวิญญาณของความเป็นครู โดยทำหน้าที่สอนอย่างเต็มศักยภาพ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
อุปมาเหมือน เมื่อลิงขึ้นเป็นเจ้าป่าได้ปกครองเหล่าราชสีห์แล้ว จิตวิญญาณแห่งราชสีห์ก็คงหดหายไปไม่น้อยกว่าครึ่ง ฉันใดก็อิ่มนั่น.
......
........
..........
ทุกองค์กร ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ต่างก็สำรอกออกมาตรงกันว่าต้องพัฒนาคุณภาพครูอย่างเร่งด่วน ถึงขนาดมีการออกหลักสูตร 5 ปี บ้าง 6 ปี บ้าง โดยที่ไม่มีใครพูดถึงผู้บริหารสถานศึกษาเลย และการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษานั้น ข้อกำหนดเดียวที่พอจะบ่งบอกถึงคุณภาพได้ก็คือ ทุกคนต้องมีปริญญาทางการบริหารการศึกษา แต่ข้อกำหนดนี้ก็ถูกกระทำชำเราด้วยหลักสูตรการบริหารการศึกษาที่ไม่ได้คุณภาพ และก็มีผู้บริหารสถานศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ผ่านหลักสูตรเหล่านี้ และมีแนวโน้มที่จะสร้างปัญหาให้ครูผู้สอนต่อไป
....
.......
.........
น่าจะถึงเวลาแล้วที่ทุกองค์กร ทุกหน่วยงานต้องหันมามองภาพรวมของผู้บริหารสถานศึกษาว่ามีคุณภาพเป็นอย่างไร มีสมรรถนะที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารสถานศึกษาหรือไม่ เพราะผู้บริหารสถานศึกษานั้นนับได้ว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครูผู้สอน
อุปมาเหมือนทีมฟุตบอลถ้ามีผู้จัดการที่เก่ง ดีและมีกึ๋น ผลงานการแข่งขันของทีมก็จะออกมาดี แต่ถ้าทีมนั้นได้ผู้จัดการทีมที่ไม่เก่ง ไม่ดี ไม่มีกึ๋น ผลงานการแข่งขันของทีมก็ย่อมไม่ดีตามไปด้วย ทั้งๆที่ก็ใช้นักเตะชุดเดียวกัน ฉันใดก็อิ่มนั่น.

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ทักษะที่จำเป็นสำหรับนักเรียนไทยในศตวรรษที่ 21

จากการได้อ่านหนังสือ 21 st Skill ที่เป็นการนำเสนอแนวความคิดในการพัฒนาระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแนวความคิดเหล่านี้หาได้เป็นแนวความคิดที่เกิดจากองค์กรทางการศึกษาของภาครัฐ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวตั้งตัวตีที่พยายามจะนำแนวคิดนี้ไปสู่การปฎิบัติอย่างเห็นผลจริงจังก็คือ "ภาคีเครือข่ายความร่วมมือ 21st Skill " .................เห็นแนวทางการพัฒนาการศึกษาของเขาแล้ว ชวนให้เกิดความรู้สึกสลดหดหู่ยิ่ง เมื่อได้มองย้อนกลับมาที่ระบบการศึกษาบ้านเรา มาตรฐานการศึกษาของเขาที่เรายกย่องว่าเลิศ เขากลับมองว่าไม่เพียงพอต่อการผลิตมนุษย์ประเทศเขาเพื่อรองรับศตวรรษที่ 21 เมื่อมองกลับมาที่ประเทศเรา ระบบการศึกษายังอยู่ในวังวนเดิมๆ ที่ไม่ควรจะเป็นปัญหา เช่น ปัญหาหนี้สินครู ปัญหาวิทยฐานะที่มีระบบการประเมินที่พิกลพิการ(ผู้เขียน) เห็นครูและบุคลากรทางการศึกษาเดินทางไปประท้วงเรื่องหนี้สิน ไปประท้วงเรื่องวิทยฐานะกันมากมายเพื่อให้รัฐช่วยแก้ปัญหาให้ .............แต่ยังไม่เห็นมีครูคนไหน หรือกลุ่มใด เดินทางไปประท้วงเพื่อให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่อง "ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนตกต่ำ".........หรือว่าไม่จริง
กกกกกกขึ่นต้นด้วยการเกริ่นนำเรื่องหนังสือ 21st Skill แต่ดันลงท้ายที่เกือบจะเหมือนการด่าครู ทั้งๆที่ตนเองก็เป็นครู แต่ผู้เขียนเชื่ออย่างนึงว่าคนที่ลงบ่อโคลนย่อมรู้ซึ้งถึงคำว่าโคลนดีกว่าคนที่ยืนมองอยู่บนปากบ่อ สิ่งที่สาธยายไปอาจจะขัดใจใคร(ครู)หลายๆคน แต่ขออย่างนึงว่า ขอให้ท่านได้ทำตัวให้เป็นผู้หนัก(ครุ) พร้อมกับเปิดใจนำเอาสิ่งที่ผู้เขียนได้ว่าไว้ ไปคิดไตร่ตรองให้ดีว่าจริงหรือไม่.......อย่ารอให้เกิดการเดินทางไปประท้วงเรื่องผลสัมฤทธื์ทางการเรียนของผู้เรียนตกต่ำ โดย "ผู้ปกครองนักเรียน"!!

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ระบบการศึกษาไทยในอนาคต

ระบบการศึกษาไทยนั้น เป็นระบบที่ควรจะมีความยืดหยุ่นเอาความต้องการและศักยภาพของผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาความต้องการของสถานศึกษาเป็นตัวตั้ง เพราะทุกวันนี้เด็กหลายคนที่ถูกบังคับให้เข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับเพราะ สถานศึกษานั้นต้องการจำนวนเด็กที่มากที่สุดเข้าไว้ เพราะจำนวนเด็กที่เข้าเรียนในสถานศึกษานั้นจะแปรผันตรงกับจำนวนเงินงบประมาณที่สถาศึกษาจะได้รับจากรัฐบาล เป็นเหตุให้เด็กหลายคนไม่สามารถที่จะเรียนรู้และใช้ความถนัดของตนเองได้อย่างเต็มที่ เช่น เด็กบางคน มีครอบครัวที่ทำอาชีพเพาะปลูกทำให้เด็กมีความสนใจและชอบในการเพาะปลูก แต่สถานศึกษาไม่ได้ส่งเสริมในเรื่องนี้แต่กลับไปส่งเสริมในเรื่องวิชาการ ซึ่งทำให้เด็กไม่ชอบและไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้ตามศักยภาพ ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียน พฤติกรรมเบี่ยงเบนไปในทางที่ไม่ดี จากกรณีนี้ถ้าวิเคราะห์ให้ดีจะพบได้ไม่ยากว่า ถ้าเด็กคนนี้ได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบในกระบวนการเพาะปลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กคนนี้ชอบจะทำให้ประเทศไทยได้นักกสิกรรมมือฉกาจเพิ่มมา 1 คน แทนที่จะได้อันธพาล จากระบบการศึกษาภาคบังคับในปัจจุบัน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ระบบการศึกษาไทยจะแบ่งเป็น 2 ภาค
1. การศึกษาตามระบบ ซึ่งเน้นวิชาการที่จะทำให้ได้ผลผลิตเป็นนักวิชาการที่จะสร้างองค์ความรู้ใน การพัฒนาประเทศต่อไป
2. การศึกษาตามความถนัด ซึ่งเน้นวิชาชีพ ซึ่งเป็นการส่งเสริมผู้เรียนตามความถนัด ตามศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งวิชาชีพที่มีในระบบการศึกษาตามความถนัดนี้อาจจะจำแนกคร่าวๆได้ดังนี้
1.1 วิชาชีพเกษตรกรรม แบ่งเป็น พืชสวน พืชไร่ ข้าว ผู้ที่จะเรียนได้ต้องมีที่ดินเป็นของตนเอง หรือของพ่อแม่
1.2 วิชาชีีพปศุสัตว์ แบ่งเป็น สัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์กีบ ผู้ที่จำเรียนได้ต้องมีที่ดินของตนเองหรือของพ่อแม่
1.3 วิชาชีพบริการ เช่น พนักงานขับรถ พนักงานต้อนรับในโรงแรม ช่างตัดผม นวดแผนโบราณ ฯลฯ
1.4 วิชาชีพศิลปะ เช่น ช่างวาดภาพ ช่างปั้น ช่างหล่อ ช่างแกะสลัก
1.5...................
1.6..........................
1.7........................................
ฯลฯ

แนวคิดนี้เกิดขึ้นมาได้ไม่ใช่เพราะว่า ระบบการศึกษาในปัจจุบันนั้นไม่ดี แต่จากการที่ได้เข้ามาอยู่ในแวดวงการศึกษากว่า 5 ปี ทำให้พบว่ากว่าเด็กบางคนจะตะกายออกจากระบบการศึกษาภาคบังคับเข้าไปสู่ภาค วิชาชีพ (เทคนิค อาชีวะ ) ได้นั้น บางคนก็มีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปในทางที่ไม่ดีแล้ว เพราะเกิดความเบื่อหน่ายกับการเรียนวิชาการอย่างเข้มข้นซึ่งเขาไม่ชอบ แต่ครูบาอาจารย์บางคนมักพูดติดปากว่า "ไม่ชอบก็ต้องเรียน" ทำให้ผมคิดว่าถึงเวลาปฏิวัติระบบการศึกษาไทยแล้ว เพราะการเรียนตามความชอบและความถนัดนั้นจะให้ประสิทธิภาพสูงสุด ตรงกับความต้องการของประเทศและตลาดแรงงานมากที่สุด ................ใครที่มีครอบครัวทำนามีที่นาแล้วไม่ชอบการเรียนวิชาการพวก ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ก็ไปเรียนการทำนาปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตเลิศ.......เด็กคนไหนที่ครบครัวทำสวน ผลไม้และชอบการเพาะปลูก ก็ไปเรียนการเพาะปลูกไม้ผลให้ได้ผลผลิตเลิศ ซึ่งอาจจะต้องใช้องค์ความรู้ของวิชาการแต่ก็ไม่เข้มข้นจนรู้สึกเบื่อหน่าย

ทำไมเราต้องไปเดินตามก้นต่างประเทศในเรื่องระบบการศึกษา
ทำไมเราต้องไปคิดว่าระบบการศึกษาของต่างประเทศเป็นระบบที่ดีที่"เหมาะสม" กับประเทศเรา
ทำไมเราไม่ลองมองย้อนกลับมาดูประเทศตัวเองว่ามีจุดแข็งอะไร
แล้วทำไมเราไม่ลองวิเคราะห์หาวิธีที่จะพัฒนาจุดแข็งของประเทศเรา โดย......................
ใช้ระบบการศึกษาของเราที่เรา "คิดเอง" เป็นตัวนำ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โรงเรียนไร้สาย

เพิ่งระลึกชาติได้ว่า ตัวเองมีบล๊อกอยู่นี่ เพราะงานเยอะมาก ถึงมากที่สุด ไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ด้อัปบล๊อกซักกะที มัวแต่ไปทำอะไรก็ไม่รู้ ทั้งกีฬา ทั้งแข่งวิชาการ(เกิน) ทำงานสนองเจ้านายทั้งหลายจนไม่ได้ทำงานตัวเอง ป.โท ก็จะโดนไล่ออกแล้ว เพราะ Thesis ไม่เสร็จซักที.........ถ้าแยกร่างได้จะดีมากๆเลยตอนนี้ หุหุ
นอกเรื่องมานาน เพราะตามหัวเรื่องผมขึ้นไว้ว่า โรงเรียนไร้สาย ที่ตั้งชื่อนี้เพราะว่าทุกวันนี้อุปกรณ์สื่อสารไร้สายมีราคาถูกลง ทำให้พวกเราๆท่านๆมีโอกาศได้ใช้ซะที ถึงแม้ว่ามันจะ made in Chaina ก็เหอะ เมื่อมันราคาถูกลง บรรดาเจ้านายที่โรงเรียนต่างๆก็อยากจะมี อยากจะใช้ เพราะส่วนมากท่านเจ้านายจะใช้ note book กัน ถ้ามี wireless lan ใช้ก็ยิ่งดี จะได้เอาไปคุยอวด ผอ.โรงเรียน อื่น.....หุหุ กรรมก็เลยมาตกที่ครูคอมฯ เพราะครูคอมฯ บางท่านเก่งในเรื่องทำสื่อมาก แต่เรื่องพวกนี้ท่านไม่รู้เรื่องเลย นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมอยากเขียนบทความเรื่อง โรงเรียนไร้สาย ขึ้นมา แต่ก่อนที่ท่านจะทำโรงเรียนไร้สายได้นั้น ผมขอแนะนำว่าท่านควรกลับไปอ่านบทความเรื่อง ที่ผ่านๆมาของผมให้เข้าใจก่อนจะดีที่สุด(จะได้อ่านบทความต่อไปรู้เรื่อง)
ในขณะที่ผมรอท่านกลับไป่านบทความเก่าๆของผมอยู่นั้น ผมก็จะขออนุญาตไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยววันหน้าค่อยมาว่าเรื่อง โรงเรียนไร้สายกันต่อ วันนี้ราตรีสวัสครับ

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

ไวรัส msddll.exe

เพิ่งเจอมาสดๆร้อนๆครับ ไวรัส msddll.exe อาการของเครื่องที่ติดนะครับ จะช้ามาก เรียกได้ว่าอืดโคตรๆ  พอเราเปิด Task Manager ขึ้นมา จะพบว่าเจ้า msddll.exe จะกิน process เยอะมาก เกือบๆ 90% ทำให้เครื่องเราอืดอย่างเห็นได้ชัด  วิธีการแก้ไขนะครับ 
1.ทำการเปิด การ Hidden file ตรง Floder option...คือ Show มันทุกอย่างเลย
2. เข้าลบไฟล์์ msddll.exe ที่ C:\windows\system\msddll.exe
3.เข้าไปลบไฟล์ verclsid.exe ที่ C:\windows\system32\verclsid.exe 
4. reboot เครื่อง

หายก็ดีไป  แต่ถ้าไม่หายก็ตัวใครตัวเราครับ  ..................ของผมหายนะ